ชินบัญชรเป็นคาถาหนึ่งที่มีความสำคัญ และมีอายุยาวนานนับร้อยปี ตั้งแต่เริ่มต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณช่วงสมัยรัชกาลที่ 2 มาจนถึงปัจจุบัน เพราะด้วยพลานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์จึงทำให้ชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธหันมาท่องพระคาถานี้เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเอง อีกทั้งยังเป็นการป้องกันให้ตนเองนั้นพ้นจากภัยอันตรายต่างๆ ทั้งปวง
มีการถกเถียงกันมาเป็นระยะเวลายาวนานนับทศวรรษเกี่ยวกับเรื่องราวที่ว่า ใครที่เป็นผู้แต่ง คาถาชินบัญชร ขึ้นระหว่าง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรํสี แห่งวัดระฆังโฆษิตาราม กับพระมหาเถระผู้เชี่ยวชาญบาลีปกรณ์รูปหนึ่งจากเชียงใหม่ ซึ่งในกรณีของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้น เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าท่านเป็นเพียงแค่ผู้นำพระ คาถาชินบัญชร มาเผยแพร่ต่อ มิได้เป็นผู้แต่งขึ้นเอง ตามที่ได้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ได้ไปสวดพระคาถานี้ถวายองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงมีรับสั่งว่าถ้อยคำในบทสวดนั้นไพเราะ และได้ทรงซักถามเพิ่มเติมว่า “ขรัวโตได้มาจากไหน แต่งเองหรือเปล่า” สมเด็จพระพุฒาจารย์จึงได้ถวายพระพรตอบว่า “หามิได้ เป็นสำนวนเก่าของเมืองเหนือ นำมาแก้ไขดัดแปลงใหม่ ตัดตอนให้สั้นเข้า ของลังกายาวกว่านี้” ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่าผู้แต่งขึ้นน่าจะเป็นพระภิกษุชาวล้านนารูปหนึ่ง อยู่ในสมัยพระเจ้าติโลกราชที่อาจะเป็นยุคทอง เนื่องจากในยุคนั้นเป็นยุคสมัยที่มีการสนับสนุนให้พระเถระหลายร้อยรูปเดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎกที่ลังกา เมื่อได้สำเร็จการศึกษาจึงมีการแข่งขันกันแต่งบาลีปกรณ์กันอย่างเอิกเกริกจนชื่อเสียงแผ่ขยายไปจนถึงพม่า กรุงศรีอยุธยา สิบสองปันา และล้านช้าง ทำให้เมืองเหล่านั้นต้องขอคัมภีร์ภาษาบาลีที่จารโดยพระภิกษุล้านนาไปศึกษาอย่างแพร่หลาย
ในความหมายของคำว่า ชินบัญชร นั้นแปลว่า กรง หรือ เกราะป้องกันภัยของพระพุทธเจ้า คำว่า ชิน หมายถึง พระพุทธเจ้า คำว่า บัญชร หมายถึง กรง หรือ เกราะโดยที่เนื้อหาในคาถาในชินบัญชรนั้นจะเป็นการอัญเชิญพระพุทธเจ้าจำนวน 28 พระองค์ เริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่าตัณหังกร เป็นต้น เดินทางลงมาสถิตอยู่ในทุกอณูของร่างกาย เพื่อเป็นการเสริมให้ตนเองนั้นมีพลังพุทธคุณให้ยิ่งใหญ่
จากนั้นจึงอัญเชิญพระอรหันต์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน 80 องค์ซึ่งเป็นผู้มีบารมีธรรมที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังได้มีการอาราธนาพระสูตรอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ทรงอานุภาพในด้านต่างๆ มาสถิตในทุกส่วนของร่างกายจนรวมกันเป็นกำแพงแก้วคุ้มกัน ตั้งแต่กระหม่อมลงมาห้อมล้อมรอบตัวของผู้สวดภาวนาพระคาถาชินบัญชรจนกระทั่งอันตรายก็ไม่สามารถหาช่องโหว่เพื่อสอดแทรกเข้ามาได้
เราได้รู้จักประวัติความเป็นมาของพระคาถาชินบัญชรอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องไปกำหนดจิตใจให้สงบเพื่อเริ่มสวดภาวนาพระคาถากันแล้ว
ชิ นะ ปัญ ชะ ระ ปะ ริ ตัง มัง รัก ขะ ตุ สัพ พะ ทา (ภาวนา 10 จบ)
พระคาถานี้เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ตกทอดมาจากลังกา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯค้นพบในคัมภีร์โบราณและได้ดัดแปลงแต่งเติมให้ดีขึ้นเป็นเอกลักษณ์พิเศษ ผู้ใดสวดภาวนาพระคาถานี้เป็นประจำสม่ำเสมอจะทำให้เกิดความสิริมงคลแก่ตนเอง ศัตรูไม่กล้ากล้ำกราย มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยตลอดจนคุณไสยต่างๆ เพื่อให้เกิดอานุภาพยิ่งขึ้น ก่อนเจริญภาวนาให้ตั้งนะโม ๓ จบ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
จากนั้นนึกถึงหลวงปู่โตแล้วตั้งอธิษฐานว่า
ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
1. ชะยาสะนากะตา พุทธา
เชตวา มารัง สะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภัง ระสัง
เย ปิวิงสุ นะราสะภา.
2. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง
มัตถะเกเต มุนิสสะรา.
3. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง
พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.
4. หะทะเย เม อะนุรุทโธ
สารีปุตโต จะทักขิเณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก.
5. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง
อาสุง อานันทะ ราหุโล กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.
6. เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง
สุริโย วะ ปะภังกะโร นิสินโน สิริสัมปันโน
โสภิโต มุนิปุงคะโว
7. กุมาระกัสสโป เถโร
มะเหสี จิตตะ วาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง
ปะติฏฐาสิคุณากะโร.
8. ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ
อุปาลี นันทะ สีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา
นะลาเต ติละกา มะมะ.
9. เสสาสีติ มะหาเถรา
วิชิตา ชินะสาวะกา เอเตสีติ มะหาเถรา
ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ
อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.
10. ระตะนัง ปุระโต อาสิ
ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ
วาเม อังคุลิมาละกัง
11. ขันธะโมระปะริตตัญจะ
อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ
เสสา ปาการะสัณฐิตา
12. ชินา นานาวะระสังยุตตา
สัตตัปปาการะ ลังกะตา วาตะปิตตาทะสัญชาตา
พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.
13. อะเสสา วินะยัง ยันตุ
อะนันตะชินะ เตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ
สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.
14. ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ
วิหะรันตัง มะฮี ตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ
เต มะหาปุริสาสะภา.
15. อิจเจวะมันโต
สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ
ชิตุปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ
ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ
ชิตันตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.
พระคาถาชินบัญชรนี้มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก หากผู้ใดสวดมนต์ หรือภาวนาคาถาชินบัญชรอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะกิน เดิน นั่ง นอน หรือภาวนาพระคาถาแม้ยามอาบน้ำ แปรงฟัน หรือแม้กระทั่งตอนทำงานก็จะช่วยเสริมให้เกิดความเป็นสิริมงคล สมบูรณ์พูลผล ศัตรูหมู่พาลไม่กล้ำกราย เดินทางไปที่ได้ก็เกิดเมตตามหานิยม มีลาภผลทวี ขจัยภัยภูตผีปีศาจ ตลอดจนคุณไสยต่างๆ หากสวดคาถาชินบัญชรนี้ขณะทำน้ำมนต์รดแก้วิกลจริต แก้สรรพโรคได้หายสิ้น นับว่าเป็นอีกหนึ่งพระคาถาที่มีคุณานุภาพตามแต่จะปรารถนา ดังคำโบราณที่ว่า “ฝอยท่วมหลังช้าง” เมื่อเดินทางไปที่ใดๆ ให้สวด 10 จบแล้วอธิฐานก็จะสำเร็จได้สมดังใจ
สำหรับใครที่ไม่ค่อยถนัดนักในการที่จะท่องคาถาชินบัญตามตัวหนังสือ หรืออยากจะจำพระคาถานี้ให้ได้ขึ้นใจ เราก็มีคาถาชินบัญชรในรูปแบบที่เป็นวีดีโอ หรือเสียงมาฝากเอาไว้ให้ไปนั่งฟัง พร้อมกับท่องตามกันได้ง่ายๆ เชื่อว่าหากเพื่อนๆ หมั่นฟังเป็นประจำก็จะทำให้สามารถจดจำคาถาชินบัญชรนี้ได้โดยไม่ต้องเปิดอ่านจากหนังสือสวดมนต์อีกแล้วล่ะ
จงระลึกไว้เสมอว่า บทสวด หรือพระคาถาใดๆ ซึ่งรวมถึงพระคาถาชินบัญชรก็ไม่อาจสามารถพยุงเราให้รอดพ้นจากภัยอันตราย หรือกำหนดจิตใจของเราให้สงบ แน่วแน่ได้ด้วยตัวเองทั้งหมด ตัวของเรา ใจของเราเอง ยังคงต้องเป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยประสานการทำงานให้การสวดภาวนาเหล่านั้นสัมฤทธิ์ผลด้วย อาจมีการนั่งสมาธิ สวดภาวนาพระคาถาต่างๆ หมั่นทำบุญ ตักบาตร และใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ มีสติ เพียงเท่านี้ชีวิตของเราก็จะได้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ขอขอบคุณบทความผู้ให้ความรู้จาก http://horoscope.sanook.com/59501/
หน้าที่เข้าชม | 692,398 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 478,749 ครั้ง |
เปิดร้าน | 31 มี.ค. 2560 |
ร้านค้าอัพเดท | 15 ก.ย. 2568 |